กฎหมายการประมงที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันคือ พ.ร.บ.การประมง พ.ศ. 2490 ซึ่งได้ใช้บังคับมาเป็นระยะเวลานาน จึงไม่เหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน
ปัญหาด้านการประมงนับว่าเป็นปัญหาที่สำคัญอย่างหนึ่ง ในแต่ละปีการประมงสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศไม่ต่ำกว่าปีละ 2 แสนล้านบาท แต่การประมงก็พบกับอุปสรรคมากมายนานับประการ ไม่ว่าจะเป็นความเสื่อมโทรมของธรรมชาติ มลพิษในน้ำที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม กากน้ำมันของเรือต่างๆ ระบบนิเวศน์ถูกทำลาย
ร่างกฎหมาย พ.ร.บ. การประมง พ.ศ... จะมีหลักการใหม่ ๆ ที่สำคัญๆ เช่น การกำหนดแบ่งเขตการประมงในน่านน้ำไทยออกเป็น 3 เขต คือ (1) เขตประมงน้ำจืด หมายถึง เขตประมงที่อยู่ในแผ่นดิน (2) เขตประมงทะเลชายฝั่ง หมายถึง เขตตั้งแต่ชายฝั่งทะเลออกไป 3 ไมล์ทะเล และอาจขยายได้แต่ไม่เกิน 12 ไมล์ทะเล และ (3)เขตประมงทะเลนอกชายฝั่ง หมายถึง เขตทะเลนอกเหนือจากเขตทะเลชายฝั่งออกไปจนสุดเขตน่านน้ำไทย ในแต่ละเขตมีการบริหารจัดการการใช้ประโยชน์ทรัพยากรสัตว์น้ำแตกต่างกันตามความเหมาะสม ตามประเภทของเครื่องมือประมง และสภาพพื้นที่การใช้เครื่องมือประมงที่ไม่เหมาะสมกับทรัพยากรสัตว์น้ำ จะทำให้สัตว์น้ำขนาดเล็กถูกจับขึ้นมาใช้ประโยชน์ก่อนวัยอันควร การใช้เครื่องมือประมงที่ถูกต้องและเหมาะสมตามสภาพ ย่อมเป็นวิธีที่จะรักษาระบบนิเวศน์อีกด้วย ซึ่งกฎหมายเดิมไม่ได้กำหนดเขตพื้นที่ทำการประมง ทำให้เครื่องมือประมงที่ได้รับอนุญาตสามารถทำการประมงในทะเลได้อย่างเสรีในทุกเกือบพื้นที่ ก่อให้เกิดปัญหาการแย่งชิงพื้นที่ทำการประมง
การกำหนดให้มีมาตรการส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค และมีคุณภาพที่ได้มาตรฐาน โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้รัฐสามารถออกมาตรการควบคุมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้ได้คุณภาพมีมาตรฐาน ซึ่งกฎหมายเดิมไม่มีการกำหนดไว้ชัดเจน จึงทำให้การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ผ่านมามีการใช้สารเคมี จึงมีคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ทำให้ขาดศักยภาพในการแข่งขันทางการค้า
การกำหนดให้มีมาตรการส่งเสริมด้านสุขอนามัย โดยรัฐมีหน้าที่กำหนดมาตรฐานขั้นพื้นฐานด้านสุขอนามัยสำหรับประชาชน นับตั้งแต่ขั้นตอนการจับ การดูแลสัตว์น้ำหลังการจับ การแปรรูป และการขนส่งหรือการขนถ่ายสัตว์น้ำ อันจะส่งผลให้สามารถรักษาคุณภาพสัตว์น้ำให้มีคุณภาพ เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ซึ่งกฎหมายเดิมไม่มีบทบัญญัติส่งเสริมควบคุมด้านสุขอนามัย ทำให้ไม่สามารถควบคุมสัตว์น้ำให้มีคุณภาพสุขอนามัย
การกำหนดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ บำรุงรักษา อนุรักษ์ฟื้นฟู และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรสัตว์น้ำ ซึ่งจะส่งผลดีในระยะยาวต่อทรัพยากรสัตว์น้ำ อันจะทำให้รัฐสามารถกำหนดมาตรการด้านการบริหารจัดการได้สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ และความต้องการของประชาชน ซึ่งกฎหมายเดิมไม่มีบัญญัติไว้
การกำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติ เพื่อกำหนดแนวทางและเป้าหมายในการพัฒนาการประมงของประเทศ แนวทางในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำ แนวทางพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่องด้านการประมง การแก้ไขปัญหาการทำการประมงนอกน่านน้ำไทย ซึ่งกฎหมายเดิมไม่มีบัญญัติไว้ จึงทำให้ขาดการบริหารจัดการการประมงภาพรวม และทำให้เกิดปัญหาการทำการประมงโดยละเมิดน่านน้ำและฝ่าฝืนข้อตกลงระหว่างประเทศ
การแก้ไขพ.ร.บ การประมง โดยแก้ไขหลักการที่สำคัญต่างๆเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน ที่มีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น และมีการขยายตัวของอุตสาหกรรมการประมง แต่พื้นที่การประมงยังคงมีเท่าเดิม และการกำหนดให้มีคณะกรรมการนโนบายประมงแห่งชาติ จึงน่าจะทำให้ปัญหาและอุปสรรคต่างๆด้านการประมงลดน้อยลง ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาด้านการประมง เพื่อการจัดการทรัพยากรประมง การผลิตสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำเพื่อให้ได้คุณภาพต่อการบริโภคของประชากรในประเทศ และเพื่อการส่งออกอันจะเป็นการสร้างอาชีพและทำรายได้ให้กับประเทศ
ร่างกฎหมายฉบับใหม่กำลังจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร อย่างไรก็ตามกฎหมายที่จะใช้บังคับจะสัมฤทธิ์ผลเพียงใด ก็ต้องขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องและประชาชนที่ต้องร่วมมือกันปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ที่ออกมาใช้บังคับอย่างจริงจัง
สาระสำคัญของพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2558
๑. โครงสร้าง
พระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2558 มีโครงสร้างดังนี้
มาตรา ๑ ถึง มาตรา ๕
หมวด ๑ การบริหารจัดการด้านการประมง
ส่วนที่ ๑ บททั่วไป
ส่วนที่ ๒ คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ
ส่วนที่ 3 คณะกรรมการประมงประจำจังหวัด
ส่วนที่ 4 สถิติการประมง
ส่วนที่ 5 การควบคุม
หมวด ๒ เขตการประมง
ส่วนที่ ๑ การกำหนดเขตการประมง
ส่วนที่ ๒ การทำการประมงในเขตการประมง
หมวด ๓ การส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
หมวด ๔ สุขอนามัยของสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ
หมวด ๕ การนำเข้าและส่งออกสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ
หมวด ๖ การประมงนอกน่านน้ำไทย
หมวด ๗ ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตและใบแทนใบอนุญาต
หมวด ๘ การโอนใบอนุญาต
หมวด ๙ พนักงานเจ้าหน้าที่
หมวด ๑๐ มาตรการทางปกครอง
หมวด ๑๑ บทกำหนดโทษ
บทเฉพาะกาล
อัตราค่าอากรใบอนุญาตให้ใช้เครื่องมือทำการประมงตามประเภทเครื่องมือทำการประมง
อัตราค่าธรรมเนียม
๒. สาระสำคัญ
พระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2558 มีสาระสำคัญดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ ถึง มาตรา ๕
(๑) กำหนดวันมีผลใช้บังคับเมื่อพ้น 60 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป (มาตรา ๒)
(๒) กำหนดคำนิยามศัพท์ต่าง ๆ (มาตรา ๔)
(๓) กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้รักษาการ
ตามกฎหมาย และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ ออกกฎกระทรวงกำหนดค่าอากรและค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตราท้ายพระราชบัญญัติ ลดหรือยกเว้นค่าอากรและค่าธรรมเนียม กำหนดอายุใบอนุญาต และกำหนดกิจการอื่น หรือออกประกาศเพื่อปฏิบัติตามกฎหมาย (มาตรา ๕)
หมวด ๑ การบริหารจัดการด้านการประมง
(๑) บททั่วไป
กำหนดให้มีบททั่วไปในการบริหารจัดการทรัพยากรประมง โดยให้รัฐมนตรีหรือคณะกรรมการประมงประจำจังหวัดโดยอนุมัติรัฐมนตรีภายในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบเฉพาะในเขตประมงน้ำจืดและเขตประมงชายฝั่ง มีอำนาจออกประกาศกำหนดมาตรการควบคุมการทำการประมงในที่จับสัตว์น้ำแห่งหนึ่งแห่งใดได้ตามความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่และสภาวะของทรัพยากรสัตว์น้ำ ทั้งนี้ ภายใต้กรอบที่กำหนดไว้ตามมาตรา ๖ (๑) - (8) รวมทั้งให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกประกาศเพื่อกำหนดเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบของคณะกรรมการประมงประจำจังหวัดในเขตประมงทะเลชายฝั่งด้วย และในกรณีที่การออกประกาศจะต้องดำเนินการในเขตพื้นที่ที่คาบเกี่ยวกันระหว่างสองจังหวัดขึ้นไป เนื่องจากลักษณะทางภูมิศาสตร์หรือระบบนิเวศตามธรรมชาติของพื้นที่นั้น หรือเพื่อประโยชน์ในการจัดการอย่างเป็นระบบ ก็ให้คณะกรรมการประมงประจำจังหวัดที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณา เพื่อเสนอรัฐมนตรีในการออกประกาศ (มาตรา 7)
กำหนดให้มีการควบคุมการประกอบอาชีพในการทำการประมงและอาชีพในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการทำการประมงบางประเภทที่ระบุไว้ในกฎกระทรวง โดยให้รัฐมนตรีมีอำนาจประกาศกำหนดให้ผู้ประกอบอาชีพดังกล่าวในพื้นที่หนึ่งพื้นที่ใดมาจดทะเบียน หรือจดทะเบียนและขออนุญาตต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง (มาตรา 8)
กำหนดให้กรมประมงมีหน้าที่ส่งเสริมสนับสนุนชุมชนประมงท้องถิ่นให้มีส่วนร่วม
ในการจัดการ การบำรุงรักษา การอนุรักษ์ การฟื้นฟู และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนจากทรัพยากรสัตว์น้ำภายในที่จับสัตว์น้ำในเขตประมงน้ำจืดหรือเขตประมงทะเลชายฝั่ง สนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชนประมงท้องถิ่นในการจัดทำนโยบายการพัฒนาการประมงในน่านน้ำไทยให้สอดคล้องกับปริมาณของทรัพยากรสัตว์น้ำและขีดความสามารถในการทำการประมง สนับสนุนให้มีการรวมกลุ่มและจัดให้มีการขึ้นทะเบียนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น ให้คำปรึกษาแก่ชุมชนประมงท้องถิ่นในการจัดการ การบำรุงรักษา การอนุรักษ์ การฟื้นฟู และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรสัตว์น้ำ รวมทั้งช่วยเหลือและสนับสนุนการดำเนินงานโครงการหรือกิจกรรมของชุมชน ตลอดจนเผยแพร่ความรู้หรือข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว (มาตรา 9)
กำหนดให้นิติบุคคล คณะบุคคล หรือองค์กรอื่นใดที่มีวัตถุประสงค์หรือกิจกรรมเกี่ยวข้องโดยตรงกับการประมงในท้องถิ่นใด มีสิทธิขอขึ้นทะเบียนเป็นองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นต่อกรมประมง และองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นใดที่ได้ขึ้นทะเบียนแล้ว มีสิทธิเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาหรือแก้ไขปัญหาการประมง รวมทั้งเสนอแนะแนวทางในการออกประกาศเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำในท้องถิ่นของตนต่อคณะกรรมการประมงประจำจังหวัด (มาตรา 10 และมาตรา 11)
นอกจากนี้ยังกำหนดให้อธิบดีกรมประมงมีอำนาจแต่งตั้งสมาชิกคนหนึ่งคนใดขององค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นที่ได้ขึ้นทะเบียนกับกรมประมง เป็นผู้ช่วยเหลือการปฏิบัติงานตามกฎหมายของพนักงานเจ้าหน้าที่ (มาตรา 12)
(๒) คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ
กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน กรรมการประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานของรัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้ง และมีอธิบดีกรมประมงเป็นกรรมการและเลขานุการ โดยให้มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดนโยบายการพัฒนาการประมงของประเทศในด้านต่าง ๆ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติผ่านระบบบริหารราชการแผ่นดิน กำหนดปริมาณสูงสุดของสัตว์น้ำที่จะทำการประมงภายในน่านน้ำไทย
กำหนดแนวทางและเป้าหมายในการพัฒนาการประมงของประเทศให้สอดคล้องกับการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำและสิ่งแวดล้อม และกำหนดแนวทางในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำให้อยู่ในภาวะที่เหมาะสมและสามารถทำการประมงได้อย่างยั่งยืน รวมทั้งกำกับ ให้คำปรึกษา และแนะนำในการดำเนินการแก่คณะกรรมการประมงนอกน่านน้ำไทย ตลอดจนจัดทำรายงานผลการดำเนินงานประจำปีเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (มาตรา 13 ถึงมาตรา 16)
(3) คณะกรรมการประมงประจำจังหวัด
กำหนดให้มีคณะกรรมการประมงประจำจังหวัดทุกจังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน กรรมการประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานของรัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องและผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้ง และมีประมงจังหวัดเป็นกรรมการและเลขานุการ โดยมีอำนาจหน้าที่รวบรวม
ข้อเสนอแนะและแนวทางในการส่งเสริมอาชีพการประมง การจัดการ การบำรุงรักษา การอนุรักษ์ การฟื้นฟู และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรสัตว์น้ำขององค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ เพื่อพิจารณาจัดทำนโยบายพัฒนาการประมงในน่านน้ำไทยให้สอดคล้องกับปริมาณทรัพยากรสัตว์น้ำและขีดความสามารถในการทำการประมง พิจารณาและเสนอแนวทางในการพัฒนาหรือแก้ไขปัญหาการประมงหรือการจัดการ การบำรุงรักษา การอนุรักษ์ การฟื้นฟู และการใช้ประโยชน์ในที่จับสัตว์น้ำต่อรัฐมนตรี คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ หรืออธิบดีกรมประมง ตลอดจนออกประกาศกำหนดมาตรการในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบ (มาตรา 19 และมาตรา 20)
(4) สถิติการประมง
กำหนดให้ผู้ที่เริ่มประกอบอาชีพการประมงมีหน้าที่แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการประกอบอาชีพของตน แจ้งการเปลี่ยนแปลงรายการใด ๆ รวมทั้งแจ้งการเลิกประกอบอาชีพของตนต่อกรมประมง ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการรวบรวมสถิติการประมงและการบริหารจัดการด้านการประมง (มาตรา 22 ถึงมาตรา 24)
ในกรณีที่มีความจำเป็น พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปในสถานที่ที่ใช้ในการประกอบอาชีพการประมงในเวลาทำการของสถานที่นั้น เพื่อทำการตรวจสอบและจัดเก็บสถิติการประมงได้ โดยผู้ประกอบการหรือผู้ซึ่งเกี่ยวข้องมีหน้าที่ตอบคำถาม อำนวยความสะดวก และช่วยเหลือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามสมควร (มาตรา 25)
(5) การควบคุม
กำหนดให้มีบทบัญญัติควบคุมการกระทำต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสัตว์น้ำและที่จับสัตว์น้ำ ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองสัตว์น้ำ สิ่งแวดล้อมของสัตว์น้ำ ประชาชน ทรัพย์สินของประชาชน หรือสาธารณสมบัติ ดังนี้
๑) การห้ามมิให้มีการใช้วัตถุมีพิษหรือสารอันตรายซึ่งจะทำให้เกิดผลกระทบแก่สัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำใด ๆ (มาตรา 26) การห้ามมิให้ใช้กระแสไฟฟ้าหรือวัตถุระเบิดในที่จับสัตว์น้ำ (มาตรา 27) และการห้ามผู้ใดมีไว้ในครอบครองเพื่อการค้าซึ่งสัตว์น้ำโดยรู้ว่าได้มาจากการฝ่าฝืนข้อห้ามดังกล่าว (มาตรา ๒8)
๒) การห้ามปลูกพืชบางชนิดลงในที่จับสัตว์น้ำ (มาตรา ๒9) การห้ามวิดน้ำหรือห้ามทำให้น้ำในที่จับสัตว์น้ำซึ่งมิใช่ที่ของเอกชนแห้งลงหรือลดน้อยลงเพื่อทำการประมง (มาตรา 30) การห้ามแก้ไขเปลี่ยนแปลงที่จับสัตว์น้ำซึ่งมิใช่ที่ของเอกชนให้ผิดไปจากสภาพที่เป็นอยู่ (มาตรา 31) การห้ามติดตั้ง วาง หรือสร้างสิ่งใด ๆ ลงในที่จับสัตว์น้ำที่เป็นการกางกั้นทางเดินของสัตว์น้ำ (มาตรา 32)
๓) การห้ามมีไว้ในครอบครองซึ่งสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำในบางกรณี (มาตรา 33 และ มาตรา 34) หรือการห้ามนำสัตว์น้ำบางชนิดหรือบางลักษณะไปปล่อยลงในที่จัดสัตว์น้ำแห่งใดแห่งหนึ่ง เพื่อประโยชน์ในการป้องกันอันตรายที่อาจเกิดต่อสิ่งแวดล้อม สัตว์น้ำอื่น ร่างกายมนุษย์ ทรัพย์สินของบุคคล หรือสาธารณสมบัติ (มาตรา 35)
๔) การห้ามมีไว้ในครอบครองซึ่งเครื่องมือทำการประมงที่ทำลายพันธุ์สัตว์น้ำอย่างร้ายแรง ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง (มาตรา 36)
5) การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้ผู้ประกอบอาชีพการประมงปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบ ควบคุม และเฝ้าระวังการทำการประมง โดยให้รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติเป็นผู้ออกประกาศดังกล่าว เช่น กำหนดให้เรือประมงที่มีขนาดตั้งแต่ 30 ตันกรอสขึ้นไป ติดตั้งเครื่องมือติดตามเรือ (VMS) กำหนดให้ผู้ใช้เรือประมงที่มีขนาดตั้งแต่ 30 ตันกรอสขึ้นไป ต้องแจ้งการ เข้า – ออก ท่าเทียบเรือ กำหนดให้ผู้ใช้เรือตามขนาดที่กำหนดต้องจัดทำสมุดบันทึกการทำการประมง (Log Book) เป็นต้น (มาตรา 37)
หมวด ๒ เขตการประมง
(๑) การกำหนดเขตการประมง
กำหนดแบ่งที่จับสัตว์น้ำซึ่งอยู่ในน่านน้ำไทยออกเป็น ๓ เขต ได้แก่ เขตประมงทะเลชายฝั่ง เขตประมงทะเลนอกชายฝั่ง และเขตประมงน้ำจืด โดยเขตประมงทะเลชายฝั่งได้แก่เขตที่จับสัตว์น้ำในทะเลที่อยู่ภายในน่านน้ำไทยนับจากแนวชายฝั่งทะเลออกไปสามไมล์ทะเล และในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำ รัฐมนตรีก็สามารถออกกฎกระทรวงกำหนดให้เขตประมงทะเลชายฝั่งในบริเวณใดมีระยะนับจากแนวชายฝั่งทะเลออกไปได้ไม่เกิน ๑๒ ไมล์ทะเล ส่วนเขตประมงทะเลนอกชายฝั่งได้แก่เขตที่จับสัตว์น้ำที่อยู่ภายในเขตน่านน้ำไทยนับจากด้านที่ติดกับเขตประมงทะเลชายฝั่งออก
ไปจนสุดเขตน่านน้ำไทย และเขตประมงน้ำจืดได้แก่เขตที่จับสัตว์น้ำที่อยู่ในน่านน้ำไทยที่ไม่ได้อยู่ในเขตประมงทะเลชายฝั่งและเขตประมงทะเลนอกชายฝั่ง (มาตรา ๓8 ถึงมาตรา 41)
(๒) การทำการประมงในเขตการประมง
กำหนดให้ผู้ใดจะใช้เครื่องมือทำการประมงตามที่กำหนดในกฎกระทรวงทำการประมงในเขตประมงน้ำจืดและเขตประมงทะเลชายฝั่งต้องได้รับใบอนุญาตให้ใช้เครื่องมือทำการประมงนั้นจากพนักงานเจ้าหน้าที่ (มาตรา 42) ส่วนในเขตประมงทะเลนอกชายฝั่งผู้ใดจะใช้เครื่องมือทำการประมงใดทำการประมงต้องได้รับใบอนุญาตให้ใช้เครื่องมือประมงนั้นจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และให้ผู้ได้รับใบอนุญาตทำการประมงในเขตประมงน้ำจืดหรือเขตประมงทะเลชายฝั่ง หรือเครื่องมือประมงพื้นบ้านตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดทำการประมงในเขตประมงทะเลนอกชายฝั่งได้โดยไม่ต้องมีใบอนุญาต (มาตรา 43) รวมทั้งกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตให้ใช้เครื่องมือทำการประมงดังกล่าวต้องชำระค่าอากรตามอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง (มาตรา 44)
นอกจากนี้ยังกำหนดให้รัฐมนตรีหรือคณะกรรมการประมงประจำจังหวัดโดยอนุมัติรัฐมนตรีภายในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบ มีอำนาจประกาศกำหนดให้ที่จับสัตว์น้ำในบริเวณสถานที่ราชการ ศาสนสถาน หรือปูชนียสถาน ประตูน้ำ ประตูระบายน้ำ เขื่อน ฝาย หรือทำนบ หรือที่ซึ่งมีสภาพเหมาะสมแก่การรักษาพันธุ์สัตว์น้ำเป็นเขตพื้นที่รักษาพันธุสัตว์น้ำ (มาตรา 45) โดยห้ามผู้ใดทำการประมงหรือเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำภายในเขตพื้นที่รักษาพืชพันธุ์สัตว์น้ำดังกล่าว เว้นแต่เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ในทางวิชาการหรือเพื่อการบำรุงพันธุ์สัตว์น้ำและต้องได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากอธิบดีหรือผู้ได้รับมอบหมาย (มาตรา 46)
หมวด ๓ การส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
กำหนดให้มีมาตรการส่งเสริมกิจกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเพื่อให้ได้ผลผลิตสัตว์น้ำที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเพื่อความปลอดภัยต่อร่างกายมนุษย์ ทรัพย์สินของบุคคลหรือสาธารณสมบัติ
ในการส่งเสริมการเพาะเลี้ยงนั้นได้กำหนดให้รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตรประกาศกำหนดมาตรฐานในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเพื่อให้ผู้เพาะเลี้ยงนำไปใช้ปฏิบัติ และกำหนดให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายมีหน้าที่ออกหนังสือรับรองการปฏิบัติได้มาตรฐานนั้นให้แก่ผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำตามที่ร้องขอ เพื่อผู้ร้องขอจะได้นำไปใช้ประโยชน์ในกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของตน และให้กรมประมงศึกษา วิจัย และพัฒนาเกี่ยวกับการเพาะเลี้ยง การปรับปรุงพันธุ์ และการขยายพันธุ์สัตว์น้ำ เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมและกำหนดมาตรฐานในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (มาตรา 47) นอกจากนี้หากผู้ใดมีความประสงค์ที่จะขอให้กรมประมงตรวจรับรองชนิด ลักษณะ คุณภาพ หรือแหล่งกำเนิดของสัตว์น้ำใด หรือขอให้ตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างดิน น้ำ สัตว์น้ำ หรือปัจจัยการผลิตเป็นการเฉพาะรายเพื่อประโยชน์ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำนอกจากกรณีตรวจรับรองตามมาตรา 47 ก็สามารถยื่นคำขอได้โดยผู้ขอเป็นผู้ชำระค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบดังกล่าว (มาตรา 48)
ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้ได้สัตว์น้ำที่มีคุณภาพ เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือเพื่อความปลอดภัยต่อร่างกายมนุษย์ หรือต่อทรัพย์สินของบุคคล หรือสาธารณสมบัติ ให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดชนิด หรือลักษณะของสัตว์น้ำ หรือประเภท รูปแบบ หรือขนาดของกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้เป็นกิจการที่ต้องควบคุมได้ (มาตรา ๔9) โดยเมื่อได้มีกฎกระทรวงกำหนดกิจการที่ต้องควบคุมดังกล่าวแล้ว ให้คณะกรรมการประมงประจำจังหวัดมีอำนาจกำหนดพื้นที่หรือบริเวณที่ห้ามทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และให้รัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดข้อห้ามหรือข้อปฏิบัติที่ผู้ประกอบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำต้องปฏิบัติ เช่น การให้ผู้ประกอบกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำต้องแจ้งการประกอบกิจการต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การกำหนดแหล่งที่มาของสัตว์น้ำที่ห้ามนำมาใช้ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การกำหนดประเภท ลักษณะ และคุณภาพอาหารของสัตว์น้ำ ชนิดและปริมาณของยา เคมีภัณฑ์ หรือสารอันตรายอื่นใดที่ห้ามใช้ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติในการจัดการน้ำทิ้งหรือของเสียจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ รวมทั้งการป้องกันมิให้น้ำจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำรั่วไหลออกจากที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เป็นต้น (มาตรา 50)
นอกจากนี้เพื่อเป็นการป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือการจัดการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ห้ามมิให้ผู้ใดทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เว้นแต่ในพื้นที่ที่รัฐมนตรีหรือคณะกรรมการประมงประจำจังหวัดประกาศกำหนด และได้รับใบอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ (มาตรา 51)
และเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาของสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำจึงกำหนดให้รัฐมนตรีมีอำนาจประกาศกำหนดให้ผู้ประกอบกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่มีความจำเป็นต้องควบคุมตามมาตรา ๔9 ซึ่งจะจำหน่ายสัตว์น้ำของตน ต้องขอหนังสือกำกับการจำหน่ายสัตว์น้ำนั้น
จากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือบุคคลที่อธิบดีกำหนดให้สามารถออกหนังสือกำกับการจำหน่ายสัตว์น้ำแทนพนักงานเจ้าหน้าที่สำหรับกิจการหนึ่งกิจการใดได้ (มาตรา 52)
หมวด ๔ สุขอนามัยของสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ
กำหนดให้มีมาตรการส่งเสริมด้านสุขอนามัยของสัตว์น้ำและผลิภัณฑ์สัตว์น้ำ โดยกำหนดให้รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตรจัดทำประกาศมาตรฐานด้านสุขอนามัยในการจับ การดูแลรักษาสัตว์น้ำหลังการจับ การแปรรูปสัตว์น้ำ การเก็บรักษา การขนส่งหรือขนถ่ายสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบกิจการนำไปใช้ปฏิบัติในกิจการให้ได้สัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำที่มีคุณภาพได้มาตรฐานด้านสุขอนามัยและมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค และให้อธิบดีหรือผู้ได้รับมอบหมายออกหนังสือรับรองการได้มาตรฐานดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องขอได้ (มาตรา 53)
นอกจากนี้ยังกำหนดให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดให้การประกอบกิจการในการจับ การขนส่ง หรือขนถ่ายสัตว์น้ำ เป็นกิจการที่ต้องมีการควบคุมการดูแลรักษาสัตว์น้ำหลังการจับ (มาตรา 54) เพื่อให้รัฐมนตรีสามารถประกาศกำหนดข้อห้ามหรือข้อปฏิบัติให้ผู้ประกอบการนำไปปฏิบัติให้สัตว์น้ำหลังการจับมีคุณภาพได้มาตรฐานด้านสุขอนามัยหรือมความปลอดภัยต่อผู้บริโภค เช่น วิธีปฏิบัติในการดูแลรักษาสัตว์น้ำหลังการจับ ชนิดและปริมาณของสารเคมีที่ห้ามใช้ในการดูและรักษาสัตว์น้ำหลังการจับ หลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติด้านสุขลักษณะในเรือประมง รวมทั้งการอื่นใดที่เป็นการส่งเสริมให้สัตว์น้ำหลังการจับมีคุณภาพได้มาตรฐานด้านสุขอนามัยหรือมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค (มาตรา 55)
ในกรณีที่ปรากฏว่าที่จับสัตว์น้ำแห่งใดเกิดสภาวะมลพิษหรือมีการปนเปื้อนของสารพิษหรือสิ่งอื่นใดที่อาจเป็นอันตรายต่อมนุษย์หรือต่อสัตว์น้ำเกินมาตรฐานตามชนิดและปริมาณที่รัฐมนตรีกำหนด ให้อธิบดีมีอำนาจประกาศห้ามทำการประมงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำแห่งนั้นได้ และในกรณีฉุกเฉินและยังไม่อาจตรวจพิสูจน์ได้ทันอธิบดีก็สามารถประกาศห้ามทำการประมงเป็นการชั่วคราวได้ไม่เกิน 60 วัน (มาตรา 56)
หมวด ๕ การนำเข้าและส่งออกสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ
กำหนดให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดชนิด ลักษณะ ประเภท จำนวน หรือขนาดของสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำที่ต้องขออนุญาตนำเข้าหรือส่งออก ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการอนุรักษ์สัตว์น้ำหรือป้องกันอันตรายที่อาจเกิดต่อสิ่งแวดล้อมหรือสัตว์น้ำอื่น หรือการก่อให้เกิดอันตราย
ต่อร่างกายมนุษย์หรือทรัพย์สินของบุคคลหรือสาธารณสมบัติ (มาตรา 57)
กำหนดให้กรมประมงสามารถออกหนังสือรับรองสุขภาพหรือคุณภาพ หรือหนังสือรับรองคุณภาพด้านมาตรฐานสุขอนามัยของสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ หรือหนังสือรับรองอื่นของสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ ตามความประสงค์ของผู้ขอโดยผู้ขอต้องเสียค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบตามระเบียบ
ที่อธิบดีกำหนด (มาตรา 58)
ส่วนการควบคุมการนำสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยเรือประมงตามมาตรการรัฐเจ้าของท่าเรือ (Port State Measures) นั้น ได้กำหนดห้ามมิให้ผู้ใดนำเรือประมงที่ทำการประมงฝ่าฝืนพันธกรณีตามข้อตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี ตามบัญชีรายชื่อเรือที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด เข้ามาในราชอาณาจักร (มาตรา ๕9) และกรณีเรือประมงต่างประเทศที่ประสงค์จะนำเข้าสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำเข้ามาในราชอาณาจักร จะต้องแจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และต้องเข้าเทียบท่าเรือซึ่งมีพนักงานเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด และในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบแล้วมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเรือประมงนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำการประมงที่ฝ่าฝืนพันธกรณีดังกล่าว ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งห้ามขนถ่ายสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำขึ้นจากเรือ (มาตรา 60)
หมวด ๖ การประมงนอกน่านน้ำไทย
กำหนดให้มีคณะกรรมการการประมงนอกน่านน้ำไทยประกอบด้วยตัวแทนภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องตลอดจนผู้ทรงคุณวุฒิร่วมเป็นกรรมการ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานกรรมการ คณะกรรมการชุดนี้เป็นองค์กรในลักษณะปฏิบัติการ มีอำนาจหน้าที่ในการเสนอแนะนโยบายและแนวทางการส่งเสริม พัฒนา และแก้ไขปัญหาการทำการประมงนอกน่านน้ำไทยต่อคณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติ กำหนดแผนงานหรือวิธีการในการส่งเสริม พัฒนา และแก้ไขปัญหาการทำการประมงนอกน่านน้ำไทย ออกระเบียบกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการช่วยเหลือและคุ้มครองเรือประมงไทยที่ออกไปทำการประมงนอกน่านน้ำไทย ออกประกาศ ตลอดจนเสนอแนะต่อรัฐมนตรีหรืออธิบดีในการออกประกาศเกี่ยวกับการทำการประมงนอกน่านน้ำ (มาตรา 61 และมาตรา 62)
นอกจากนี้เพื่อเป็นการป้องกันมิให้มีการหลอกลวงเกี่ยวกับสิทธิในการทำการประมงนอกน่านน้ำจึงได้กำหนดให้ผู้ซึ่งได้ดำเนินการทำข้อตกลงหรือสัญญาการทำการประมงนอกน่านน้ำไทยกับรัฐต่างประเทศหรือเอกชนต่างประเทศและได้สิทธิในการทำการประมงในน่านน้ำของรัฐต่างประเทศ มีหน้าที่แจ้งการได้สิทธิตามข้อตกลงหรือสัญญานั้นต่ออธิบดีตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด และเมื่อได้รับแจ้งข้อมูลดังกล่าวแล้วให้อธิบดีรวบรวมข้อมูลไว้เพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสียสามารถขอตรวจสอบความถูกต้องของข้อตกลงหรือสัญญาดังกล่าวได้ (มาตรา 64)
สำหรับการควบคุมการออกไปทำการประมงนอกน่านน้ำไทยนั้นมี ๒ กรณี ได้แก่ การออกไปทำการประมงในน่านน้ำของรัฐต่างประเทศ และการออกไปทำการประมงในทะเลหลวง โดยในกรณีที่ผู้ใดจะใช้เรือประมงไทยออกไปทำการประมงในน่านน้ำของรัฐต่างประเทศจะต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดีหรือผู้ได้รับมอบหมายก่อน โดยผู้ยื่นคำขออนุญาตจะต้องแสดงหลักฐานแห่งสิทธิในการทำการประมงนอกน่านน้ำไทยในน่านน้ำของรัฐต่างประเทศต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ด้วย นอกจากนี้ ผู้รับอนุญาตดังกล่าวยังต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ต้องทำการประมงโดยไม่ละเมิดกฎหมายของรัฐต่างประเทศด้วย (มาตรา 65)
สำหรับกรณีผู้ใดจะใช้เรือประมงไทยออกไปทำการประมงในทะเลหลวงไม่ต้องได้รับอนุญาต แต่หากทะเลหลวงในบริเวณที่จะไปทำการประมงนั้นเป็นบริเวณที่ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีตามข้อตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำ และรัฐมนตรีได้ประกาศให้ทราบถึงการเข้าร่วมเป็นภาคีดังกล่าวแล้ว จะต้องได้รับจากอธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย (มาตรา 66)
นอกจากนี้ ผู้รับใบอนุญาตให้ไปทำการประมงในทะเลหลวงตามมาตรา 66 ดังกล่าว จะต้องทำการประมงตามพันธกรณีตามข้อตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคี ที่คณะกรรมการการประมงนอกน่านน้ำไทยกำหนดไว้อีกด้วย (มาตรา 67)
และเพื่อเป็นมาตรการแก้ปัญหาการละเมิดน่านน้ำของรัฐต่างประเทศ จึงกำหนดให้เจ้าของเรือประมงไทยที่ให้ใช้หรือยอมให้ใช้เรือของตนทำการประมงจนเป็นเหตุให้มีการละเมิดกฎหมายของต่างประเทศ และทำให้คนประจำเรือหรือผู้โดยสารซึ่งไปกับเรือต้องตกค้างอยู่ ณ ต่างประเทศ มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นที่รัฐได้จ่ายไปในการนำคนประจำเรือหรือผู้โดยสารดังกล่าวกลับประเทศไทยภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งจากกรมประมง (มาตรา 68)
หมวด ๗ ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตและใบแทนใบอนุญาต
กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตประกอบอาชีพในการทำการประมง หรืออาชีพในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการทำการประมงตามมาตรา 8 ผู้รับใบอนุญาตมีไว้ในครอบครองซึ่งสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำตามมาตรา 33 ผู้รับใบอนุญาตเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามมาตรา 51 ผู้รับใบอนุญาตนำเข้าหรือส่งออกสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำตามมาตรา 57 ผู้รับใบอนุญาตใช้เรือประมงไทยออกไปทำการประมงนอกน่านน้ำไทยในน่านน้ำของรัฐต่างประเทศตามมาตรา 65 ผู้รับใบอนุญาตใช้เรือประมงไทยออกไปทำการประมงในบริเวณทะเลหลวงตามมาตรา 66 และผู้รับใบแทนใบอนุญาตดังกล่าว ต้องชำระค่าธรรมเนียมตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง (มาตรา 69)
หมวด ๘ การโอนใบอนุญาต
กำหนดให้สิทธิตามใบอนุญาตและสิทธิตามหนังสืออนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้
ไม่ตกทอดไปสู่ทายาท (มาตรา 70)
และกรณีผู้รับใบอนุญาตต่าง ๆ ประสงค์จะขอโอนใบอนุญาตให้บุคคลอื่น ก็ให้ยื่น
คำขอต่ออธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ และต้องชำระค่าธรรมเนียมการโอนใบอนุญาตตามอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง (มาตรา 71)
หมวด ๙ พนักงานเจ้าหน้าที่
กำหนดให้มีพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งขึ้นตามมาตรา ๕ ประกอบมาตรา ๔ วรรคสิบเก้า มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการต่าง ๆ ในการบังคับใช้กฎหมายหรือดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายนี้ ดังนี้
๑) อำนาจในการอนุญาต
กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาอนุญาตให้กระทำการตามมาตราต่าง ๆ ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ใดจะเป็นผู้มีอำนาจอนุญาตในมาตราใดกรณีใด จะเป็นไปตามที่รัฐมนตรีกำหนดไว้ตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ที่ได้แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๕
๒) อำนาจตรวจสอบควบคุมให้การเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจปฏิบัติการเพื่อตรวจสอบควบคุมเพื่อให้การเป็นไปตามกฎหมาย โดยให้มีอำนาจมีหนังสือเรียกผู้รับอนุญาต กรรมการ ผู้จัดการ บุคคลผู้มีอำนาจในการจัดการ หรือพนักงานของผู้รับอนุญาตที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำหรือให้ส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาเพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินการตามกฎหมาย มีอำนาจเข้าไปในสถานที่ประกอบกิจการหรือสถานที่ที่เกี่ยวกับการประกอบกิจการของผู้รับอนุญาต ในระหว่างเวลาทำการเพื่อตรวจสอบควบคุมตามกฎหมาย มีอำนาจเข้าไปในสถานประกอบการที่ที่ต้องมีการควบคุมด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำหรือด้านการดูแลรักษาสัตว์น้ำหลังการ
จับในระหว่างเวลาทำการเพื่อตรวจสอบควบคุมให้เป็นไปตามกฎหมาย มีอำนาจสั่งให้ผู้ควบคุมเรือประมงใดหยุด เข้าไปในเรือประมงหรือที่จับสัตว์น้ำใดเพื่อตรวจสอบและควบคุมให้การเป็นไปตามกฎหมาย มีอำนาจค้นในเวลาระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตกหรือในระหว่างเวลาทำการ ในกรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำความผิด มีอำนาจเก็บตัวอย่างสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำหรือวัตถุใด ๆ เพื่อนำไปตรวจสอบหรือตรวจ
วิเคราะห์ เพื่อตรวจสอบควบคุมให้การเป็นไปตามกฎหมาย มีอำนาจยึดอายัดสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำที่ห้ามมิให้ผู้ใดมีไว้ในครอบครอง มีอำนาจยึดหรืออายัดยา เคมีภัณฑ์ หรือสารอันตรายอื่นใดที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นยา เคมีภัณฑ์ หรือสารอันตรายที่ใช้หรือจะใช้ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำโดยฝ่าฝืนข้อห้ามใช้ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
ทั้งนี้ การใช้อำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติการดังกล่าวจะต้องถือปฏิบัติตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด (มาตรา 73) และจะต้องแสดงบัตรประจำตัวต่อผู้รับอนุญาตหรือผู้ซึ่งเกี่ยวข้องด้วย (มาตรา 74)
๓) อำนาจในการจับกุมปราบปรามผู้กระทำความผิด
กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา เพื่อคุ้มครองและควบคุมพนักงานเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่ และกำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจจับกุมปราบปรามผู้กระทำความผิดตามกฎหมายนี้มีฐานะเป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ทั้งนี้ เพื่อให้นำบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาใช้ในการปฏิบัติการจับกุมปราบปรามการกระทำผิดตามกฎหมาย (มาตรา 75)
หมวด ๑๐ มาตรการทางปกครอง
กำหนดให้ผู้มีอำนาจออกใบอนุญาตหรือหนังสืออนุญาตมีอำนาจสั่งเป็นหนังสือให้ผู้รับใบอนุญาตแก้ไขหรือปฏิบัติตามกฎหมาย กฎกระทรวง ประกาศ หรือระเบียบที่ออกตามความในกฎหมายนี้ ตลอดจนมีอำนาจสั่งพักใช้ใบอนุญาตหรือระงับการอนุญาตหากไม่ดำเนินการตามคำสั่งดังกล่าว (มาตรา 76) และเมื่อปรากฏว่าผู้รับอนุญาตเคยถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตหรือระงับการอนุญาตมาแล้วและมีเหตุจะต้องถูกพักใช้ใบอนุญาตหรือการอนุญาตอีก หรือต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่าได้กระทำความผิดตามกฎหมายนี้ หรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎกระทรวง ประกาศ หรือระเบียบที่ออกตามความในกฎหมายนี้ หรือเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในใบอนุญาตหรือหนังสืออนุญาต และการไม่ปฏิบัตินั้นก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง ให้ผู้มีอำนาจออกใบอนุญาตหรือหนังสืออนุญาตมีอำนาจเพิกถอนใบอนุญาตหรือหนังสืออนุญาตได้ (มาตรา 77)
นอกจากนี้ในกรณีที่ผู้รับอนุญาตให้ติดตั้งเครื่องมือทำการประมง ปลูกสร้างสิ่งใด ๆ ลงในที่จับสัตว์น้ำ ไม่กระทำการตามที่ได้รับอนุญาต หรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ได้รับอนุญาต ให้ผู้อนุญาตมีอำนาจสั่งให้ผู้รับอนุญาตนั้นแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้เป็นไปตามที่ได้รับอนุญาตภายในระยะเวลาที่กำหนดได้ หากผู้รับอนุญาตไม่ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจดำเนินการรื้อถอนหรือทำลายเครื่องมือประมง สิ่งปลูกสร้างเช่นว่านั้นได้ โดยให้ผู้รับอนุญาตนั้นเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ (มาตรา 79)
และในกรณีที่ใบอนุญาตสิ้นอายุ หรือผู้รับอนุญาตถูกเพิกถอนใบอนุญาตหรือหนังสืออนุญาต หากผู้รับอนุญาตไม่จัดการรื้อถอนหรือทำลายเครื่องมือทำการประมง สิ่งปลูกสร้าง หรือสิ่งใด ๆ ในที่จับสัตว์น้ำที่เป็นของผู้รับอนุญาตภายใน ๓๐ วัน นับแต่ใบอนุญาตสิ้นอายุหรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตแล้วแต่กรณี พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจดำเนินการโดยรื้อถอนหรือทำลายเครื่องมือทำการประมง สิ่งปลูกสร้าง หรือสิ่งเช่นว่านั้น
เสียได้โดยผู้รับอนุญาตต้องเสียค่าใช้จ่าย (มาตรา 80)
ส่วนกรณีที่มีผู้ใดทำการประมงหรือติดตั้งเครื่องมือทำการประมง สิ่งปลูกสร้าง หรือสิ่งใด ๆ ลงในที่จับสัตว์น้ำโดยฝ่ายฝืนกฎหมายนี้ กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจรื้อถอนหรือทำลายเครื่องมือทำการประมง สิ่งปลูกสร้าง หรือสิ่งใด ๆ ที่ฝ่าฝืนนั้นเสียได้ทันที (มาตรา 81)
หมวด ๑๑ บทกำหนดโทษ
กำหนดให้มีโทษทางอาญาแก่ผู้กระทำการฝ่าฝืนข้อห้ามตามที่กำหนดไว้ ซึ่งมีทั้งโทษปรับ โทษจำคุก และโทษริบทรัพย์สิน ให้เหมาะสมกับสภาพของการกระทำความผิด รวมทั้งการกำหนดความผิดบางมาตราที่ให้คณะกรรมการเปรียบเทียบซึ่งประกอบด้วยผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้แทนกรมประมง มีอำนาจเปรียบเทียบได้ และเมื่อผู้ต้องหาได้ชำระค่าปรับตามจำนวนที่เปรียบเทียบภายใน 30 วัน ให้ถือว่าคดีเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (มาตรา 82 ถึงมาตรา 99)
บทเฉพาะกาล
เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการประมงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง กำหนดให้บรรดาพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ประกาศ ระเบียบ หรือคำสั่งที่ออกตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐ ที่ใช้บังคับอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมายนี้ จนกว่าจะมีกฎกระทรวง ประกาศ หรือระเบียบตามกฎหมายนี้ใช้บังคับ และกำหนดให้บรรดาที่รักษาพืชพันธุ์ที่ประกาศตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐ เป็นเขตพื้นที่รักษาพันธุ์สัตว์น้ำตามกฎหมายนี้ (มาตรา 100)
กำหนดให้บรรดาประทานบัตร อาชญาบัตร การอนุญาตหรือใบอนุญาตที่ออกให้ตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐ ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้ยังมีผลใช้บังคับต่อไปจนกว่าจะสิ้นอายุหรือถูกเพิกถอน (มาตรา 101)
กำหนดให้กรมประมงจัดให้มีการขึ้นทะเบียนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ (มาตรา 102)
กำหนดให้ผู้ซึ่งประกอบอาชีพการประมงแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการประกอบอาชีพของตนต่อกรมประมง ภายใน 180 วัน นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ (มาตรา 103)
และกำหนดให้ผู้ทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่สาธารณประโยชน์ตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 ยื่นคำขอรับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ภายใน 180 วัน นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ (มาตรา 104)
อัตราค่าอากรใบอนุญาตให้ใช้เครื่องมือทำการประมงตามประเภทเครื่องมือทำการประมง
อัตราค่าธรรมเนียม
กำหนดให้มีบัญชีอัตราเงินอากรและเงินค่าธรรมเนียมท้ายพระราชบัญญัติ โดยจะมีการจัดเก็บตามอัตราที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๕ ได้ไม่เกินบัญชีแนบท้ายดังกล่าว โดยเงินอากรนั้นจัดเก็บจากผู้ขออนุญาตทำการประมงในขั้นตอนการออกใบอนุญาตให้ทำการประมงตามประเภทของเครื่องมือทำการประมงตามมาตรา 42 และมาตรา 43 ส่วนค่าธรรมเนียมจะจัดเก็บค่าธรรมเนียมในการดำเนินการออกใบอนุญาตนำเข้าหรือส่งออกสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำตามมาตรา 57 ใบอนุญาตให้ครอบครองสัตว์น้ำผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำตามมาตรา 33 ใบอนุญาตให้ประกอบอาชีพในการทำการประมงตามมาตรา 8 ใบอนุญาตให้ทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามมาตรา 51 ใบอนุญาตให้ไปทำการประมงนอกน่านน้ำไทยตามมาตรา 65 และมาตรา 66 ค่าใบแทนใบอนุญาต ค่าโอนใบอนุญาต และการต่ออายุใบอนุญาต
ถาม – ตอบ
พระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490
1. พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดกี่วัน
ตอบ 90 วันนับตั้งแต่ วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
2. พระราชบัญญัติการประมง พุทธศักราช 2490 มีกี่หมวด กี่มาตรา
ตอบ 6 หมวด 73 มาตรา 1 บทเฉพาะกาล
3. "บ่อล่อสัตว์น้ำ" หมายความว่า
ตอบ ที่ล่อสัตว์น้ำเพื่อประโยชน์ในการทำการประมง ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
4. "บ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ" หมายความว่า
ตอบ ที่เลี้ยงสัตว์น้ำ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
5. เครื่องมือทำการประมงซึ่งใช้วิธีลงหลัก ปัก ผูก ขึง รั้ง ถ่วง หรือวิธีอื่นใด อันทำให้เครื่องมือนั้นอยู่กับที่ในเวลาทำการประมง คืออะไร
ตอบ "เครื่องมือประจำที่"
6. เครื่องมือทำการประมงซึ่งระบุชื่อ ลักษณะ หรือวิธีใช้ไว้ในกฎกระทรวง คืออะไร
ตอบ "เครื่องมือในพิกัด"
7. เครื่องมือทำการประมงซึ่งไม่ได้ระบุ ไว้ในกฎกระทรวงว่าเป็นเครื่องมือในพิกัด คืออะไร
ตอบ "เครื่องมือนอกพิกัด"
8. จับ ดัก ล่อ ทำอันตราย ฆ่าหรือเก็บสัตว์น้ำในที่ จับสัตว์น้ำด้วยเครื่องมือทำการประมงหรือด้วยวิธีใด ๆ คือ
ตอบ "ทำการประมง"
9. เครื่องกลไก เครื่องใช้ เครื่องอุปกรณ์ ส่วนประกอบ อาวุธ เสา หลัก หรือเรือ บรรดาที่ใช้ทำการประมง คือ
ตอบ "เครื่องมือทำการประมง"
10. "ประทานบัตร" หมายความว่า
ตอบ ใบอนุญาตซึ่งข้าหลวงประจำจังหวัดออกให้ บุคคลผู้ประมูลได้ ให้มีสิทธิทำการประมงในที่ว่าประมูล
11. "อาชญาบัตร" หมายความว่า
ตอบ ใบอนุญาตซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ออกให้แก่ ผู้รับอนุญาตเพื่อใช้เครื่องมือทำการประมง
12. บรรดาที่จับสัตว์น้ำทั้งปวงมีกี่ประเภท
ตอบ 4 ประเภท คือ
(1) ที่รักษาพืชพันธุ์
(2) ที่ว่าประมูล
(3) ที่อนุญาต
(4) ที่สาธารณประโยชน์
13. ใครมีอำนาจประกาศ กำหนดประเภทที่จับสัตว์น้ำภายในเขตท้องที่ของตนว่า เข้าอยู่ในประเภทที่รักษาพืชพันธุ์ ที่ว่าประมูล หรือที่อนุญาตที่จับสัตว์น้ำซึ่งมิได้มีประกาศตามความในวรรคหนึ่งให้ถือเป็นที่สาธารณประโยชน์
ตอบ คณะกรมการจังหวัดโดยอนุมัติของรัฐมนตรี
14. ที่รักษาพืชพันธุ์ คือ
ตอบ ที่จับสัตว์น้ำซึ่งอยู่ในบริเวณพระอารามหรือ ปูชนียสถาน หรือติดกับเขตสถานที่ดังกล่าวแล้ว บริเวณประตูน้ำ ประตูระบายน้ำ ฝาย หรือทำนบ หรือที่ซึ่งเหมาะแก่การรัก
15. ที่ว่าประมูล คือ
ตอบ ที่จับสัตว์น้ำซึ่งสมควรจะให้บุคคลว่าประมูลผูกขาด ทำการประมง และเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
16. ห้ามมิให้บุคคลใดทำการประมงหรือเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่รักษาพืชพันธุ์ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากใคร
ตอบ อธิบดี ผู้รับอนุญาตต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนดให้
17. ที่อนุญาต คือ
ตอบ ที่จับสัตว์น้ำซึ่งอนุญาตให้บุคคลทำการประมงหรือ เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และรวมตลอดถึงบ่อล่อสัตว์น้ำ
18. การทำการประมงในที่ว่าประมูลเฉพาะเพื่อบริโภคภายในครอบครัวให้กระทำได้ แต่
ตอบ ต้องใช้เครื่องมือทำการประมงตามที่คณะกรมการจังหวัดประกาศกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรี
19. บุคคลย่อมขุดหรือสร้างบ่อล่อสัตว์น้ำได้ แต่
ตอบ ต้องไม่เป็นการเสียหายแก่พันธุ์สัตว์น้ำในที่รักษาพืชพันธุ์
20. ใครมีหน้าที่ติดโคมไฟและเครื่องหมายเพื่อความปลอดภัย ของการสัญจรในทางน้ำตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
ตอบ ผู้รับอนุญาต
21. ที่สาธารณประโยชน์ คือ
ตอบ ที่จับสัตว์น้ำซึ่งบุคคลทุกคนมีสิทธิทำการ ประมงและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำได้ บุคคลใดซึ่งทำการประมงหรือเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่สาธารณประโยชน์ต้องปฏิบัติ ตามเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
22. การทำการประมงในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ ต้องขออนุญาตหรือไม่
ตอบ ไม่ต้องขออนุญาตและไม่ต้อง เสียเงินอากรตามพระราชบัญญัตินี้
23. ห้ามมิให้บุคคลใดใช้กระแสไฟฟ้าทำการประมงในที่จับสัตว์น้ำ หรือ ใช้วัตถุระเบิดในที่จับสัตว์น้ำไม่ว่าในกรณีใด เว้นแต่
ตอบ เพื่อประโยชน์ของทางราชการหรือได้รับ อนุญาตจากอธิบดี
24. รัฐมนตรีหรือข้าหลวงประจำจังหวัดโดยอนุมัติรัฐมนตรีเฉพาะภายใน เขตท้องที่ของตน มีอำนาจอย่างไร
ตอบ (1) กำหนดขนาดตาและระยะช่องเครื่องมือทำการประมงทุกชนิด กำหนดขนาด ชนิด จำนวนและส่วนประกอบของเครื่องมือทำการประมงที่อนุญาตให้ใช้ในที่จับสัตว์น้ำ
(2) กำหนดมิให้ใช้เครื่องมือทำการประมงอย่างหนึ่งอย่างใดในที่จับสัตว์น้ำโดย เด็ดขาด
(3) กำหนดระยะที่ตั้งเครื่องมือประจำที่ให้ห่างกันเพียงใด
(4) กำหนดวิธีใช้เครื่องมือทำการประมงต่าง ๆ
(5) กำหนดฤดูปลาที่มีไข่และวางไข่เลี้ยงลูก กำหนดเครื่องมือที่ให้ใช้และกำหนด วิธีทำการประมงในที่จับสัตว์น้ำใด ๆ ในฤดูดังกล่าว
(6) กำหนดชนิด ขนาด และจำนวนอย่างสูงของสัตว์น้ำที่อนุญาตให้ทำการประมง
(7) กำหนดมิให้ทำการประมงสัตว์น้ำชนิดหนึ่งชนิดใดโดยเด็ดขาด
25. ถ้าผู้รับอนุญาตค้างชำระเงินอากร ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการ ใด
ตอบ (1) ประกาศหรือแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้รับอนุญาตนำเงินอากรที่ค้างมาชำระภายใน เวลาตามที่เห็นสมควร
(2) เมื่อได้ดำเนินการตามอนุ มาตรา (1) แล้ว ผู้รับอนุญาตยังเพิกเฉยอยู่ พนักงาน เจ้าหน้าที่อาจสั่งให้หยุดทำการประมง
(3) จัดการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่ผู้รับอนุญาตนำมาวางเป็นหลักประกัน หรือ จัดการเรียกร้องให้ผู้ค้ำประกันชำระเงินอากรแทนผู้รับอนุญาต เงินที่ได้จากการขายทอดตลาดให้คิด ชำระเงินอากรและค่าใช้จ่ายในการขายทอดตลาดจนครบ เหลือเท่าใดให้คืนแก่ผู้รับอนุญาตหรือ ผู้ค้ำประกัน แล้วแต่กรณี
26. การทำการประมงในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำไม่ต้องขออนุญาตและไม่ต้อง เสียเงินอากรตามพระราชบัญญัตินี้ อยู่ในมาตราใด
ตอบ มาตรา 24
27. กำหนดอายุอาชญาบัตรสำหรับการขออนุญาตและเสียเงินอากร ให้เริ่มตั้งแต่วันใด
ตอบ วันที่ 1 เมษายน ถึงวันที่ 31 มีนาคม
28. บุคคลใดเป็นเจ้าของเรือ ใช้หรือยอมให้ใช้เรือของตนทำการ ประมงหรือเพื่อทำการประมง จนเป็นเหตุให้มีการละเมิดน่านน้ำของต่างประเทศ และทำให้ คนประจำเรือหรือผู้โดยสารไปกับเรือต้องตกค้างอยู่ ณ ต่างประเทศ บุคคลนั้นมีหน้าที่ต้อง
ตอบ ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณากำหนดค่าเสียหายและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อันเกิด จากการละเมิดน่านน้ำของต่างประเทศซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งมีจำนวนไม่เกินเจ็ดคน ภายใน สามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยดังกล่าว
มาตรา 28 ทวิ บุคคลใดเป็นเจ้าของเรือ ใช้หรือยอมให้ใช้เรือของตนทำการ ประมงหรือเพื่อทำการประมง จนเป็นเหตุให้มีการละเมิดน่านน้ำของต่างประเทศ และทำให้ คนประจำเรือหรือผู้โดยสารไปกับเรือต้องตกค้างอยู่ ณ ต่างประเทศ บุคคลนั้นมีหน้าที่ต้อง ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณากำหนดค่าเสียหายและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อันเกิด จากการละเมิดน่านน้ำของต่างประเทศซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งมีจำนวนไม่เกินเจ็ดคน ภายใน สามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยดังกล่าว
ในกรณีที่ไม่สามารถแจ้งคำวินิจฉัยแก่บุคคลตามวรรคหนึ่ง เพราะไม่พบตัวบุคคล ดังกล่าวหรือไม่มีผู้ใดยอมรับแทน ให้ถือว่าบุคคลดังกล่าวได้รับแจ้งคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ แล้ว ในเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ส่งคำวินิจฉัยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับหรือปิดคำวินิจฉัยไว้ ในที่เห็นได้ง่าย ณ สำนักงานภูมิลำเนา หรือถิ่นที่อยู่ของบุคคลดังกล่าว โดยมีพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจเป็นพยานในการนั้น
29. บุคคลใดจะใช้เครื่องมือในพิกัดทำการประมงได้ ก็ต่อเมื่อ
ตอบ ได้รับ อาชญาบัตรระบุชื่อบุคคลนั้น และเสียเงินอากรตามพระราชบัญญัตินี้แล้ว
30. ข้าหลวงประจำจังหวัดมีอำนาจอย่างไร
ตอบ ข้าหลวงประจำจังหวัดมีอำนาจออกคำสั่งให้ผู้รับอนุญาตรื้อถอน เครื่องมือทำการประมง สิ่งปลูกสร้างหรือสิ่งใด ๆ ในที่จับสัตว์น้ำ ซึ่งได้กระทำโดยฝ่าฝืนพระราช บัญญัตินี้ หรือซึ่งประทานบัตรหรือใบอนุญาตได้สิ้นอายุแล้วบรรดาที่เป็นของผู้รับอนุญาต ค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนดังกล่าวแล้ว ให้ผู้รับอนุญาตเป็นผู้ออก
31. ในกรณีที่เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจออกประทานบัตร ใบอนุญาตและ อาชญาบัตรไม่ยอมออกเอกสารเช่นว่านั้น ให้บุคคลผู้มีส่วนได้เสียอุทธรณ์ไปยังรัฐมนตรีได้ โดย ยื่นอุทธรณ์ต่อเจ้าพนักงานเช่นว่านั้นภายในกี่วัน
ตอบ 30 วัน นับแต่วันที่ทราบคำสั่ง คำอุทธรณ์นั้นให้ เจ้าพนักงานเช่นว่านั้นเสนอรัฐมนตรีโดยมิชักช้า คำวินิจฉัยของรัฐมนตรีให้เป็นที่สุด
32. บุคคลใดใช้เครื่องมือทำการประมง ซึ่งต้องมีอาชญาบัตรตามพระราช บัญญัติโดยไม่มีอาชญาบัตร หรือมิได้เสียเงินอากรเพิ่มเติม ต้องระวางโทษอย่างไร
ตอบ ปรับ 3 เท่าของเงินอากรและให้อธิบดีหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ที่อธิบดีมอบหมายมีอำนาจ เปรียบเทียบได้
33. บุคคลใดไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ ต้องระวางโทษอย่างไร
ตอบ ปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือจำคุกไม่เกินห้าปี หรือทั้งปรับทั้งจำ
34. บุคคลใดฝ่าฝืนประกาศของรัฐมนตรีหรือผู้ว่าราชการจังหวัด ต้องระวางโทษอย่างไร
ตอบ ปรับตั้งแต่ห้าพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาท หรือ จำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือทั้งปรับทั้งจำ
35. ถ้าหากปรากฏว่าสัตว์น้ำนั้นเป็นสัตว์ชนิดที่อาจก่อให้เกิดอันตรายตาม ต้องระวางโทษอย่างไร
ตอบ ปรับไม่เกินหนึ่งแสนสองหมื่นบาทหรือจำคุกไม่เกินหกปี หรือ ทั้งปรับทั้งจำ
36. บุคคลใดทำลาย ถอดถอน หรือทำให้โคมไฟ เครื่องหมายหลักเขต แผ่นประกาศหรือสิ่งอื่น ๆ ที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำไว้ในที่จับสัตว์น้ำบุบสลาย หรือเสียหายด้วย ประการใด ๆ มีความผิดต้องระวางโทษอย่างไร
ตอบ ปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือ ทั้งปรับทั้งจำ
37. ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ในพระราชบัญญัตินี้คือใคร
ตอบ พลเรือตรี ถ. ธำรงนาวาสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี
38. พระราชบัญญัติการประมง มีทั้งหมดกี่ฉบับ
ตอบ 3 ฉบับ คือ
พระราชบัญญัติการประมง พุทธศักราช 2490
พระราชบัญญัติการประมง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2496
พระราชบัญญัติการประมง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2528
39. เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติการประมง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2496 คืออะไร
ตอบ ด้วยปรากฏว่าเวลานี้มีผู้ใช้วัตถุ ระเบิดทำการประมงทั้งในน่านน้ำจืดและน่านน้ำเค็มกันเป็นจำนวนมาก อันเป็นการฝ่าฝืนพระราช บัญญัติการประมง พ.ศ.2490 ผู้ฝ่าฝืนไม่ค่อยกลัวเกรง เพราะโทษแห่งความผิดได้กำหนดไว้ให้ใน อัตราต่ำ และการจับกุมผู้กระทำผิด ก็จับได้ด้วยความยากลำบาก การใช้วัตถุระเบิดทำการประมงนั้น ปรากฏจากผลของการทดลองของกองทัพเรือ ร่วมกับกรมการประมงว่า เป็นการทำลายพันธุ์ปลา ชนิดดี ๆ อย่างร้ายแรงมาก การใช้วัตถุระเบิดส่วนมาก ผู้ฝ่าฝืนใช้ตามหินกองในท้องทะเลซึ่งมีปลา พันธุ์ดีอาศัยอยู่ เช่นปลาเหลือง ปลาสีกุน การระเบิดครั้งหนึ่ง ๆ ปรากฏว่าได้ทำลายพันธุ์ปลาที่อยู่ ในรัศมีการระเบิดโดยสิ้นเชิง ทั้งปลาใหญ่และลูกปลาที่เป็นปลาที่มีราคาและปลาเหล่านี้เป็นปลา ประจำท้องที่ ถ้าหากยังมีการฝ่าฝืนเช่นนี้ต่อไปอีก ไม่ช้าพันธุ์ปลาดี ๆ ในท้องทะเลก็จะถูกทำลาย ให้สูญพันธุ์ในกาลต่อไปได้ เป็นการทำลายอาชีพการประมงของบรรดาชาวประมง และบัดนี้ก็ปรากฏ ว่าเครื่องมือทำการประมงบางชนิดเช่น อวนยอ อวนมุโร เบ็ดสาย ลอบปะทุน ทำการประมงไม่ได้ผล เพราะบริเวณที่ใดถูกระเบิด ปลาก็ถูกทำลายแทบหมดสิ้น ไม่มีพันธุ์พอที่จะเกิดและเพิ่มปริมาณให้ มีการจับได้อีกเป็นเวลานาน ทำให้ชาวประมงที่ใช้เครื่องมือประจำที่ทำการจับไม่ได้ต่างพากัน ร้องว่าเดือดร้อน ฉะนั้น จึงควรกำหนดโทษผู้ฝ่าฝืนไว้ในอัตราสูง เพื่อปราบปรามให้เข็ดหลาบ และป้องกันการทำลายพันธุ์ปลาไว้มิให้ถูกทำลายหมดไป โดยการกระทำของผู้เห็นประโยชน์ ส่วนตัวเฉพาะหน้า
อนึ่ง ปรากฏว่ามีผู้ฝ่าฝืนทำการบุกรุกและวิดน้ำจับสัตว์น้ำ ในที่จับสัตว์น้ำอันเป็นที่ สาธารณประโยชน์ โดยมิได้รับอนุญาต เป็นเหตุให้เกิดการเสียหายแก่ที่จับสัตว์น้ำและพันธุ์สัตว์น้ำ จึงเห็นควรแก้ไขให้การควบคุมและการรักษาสัตว์น้ำได้ประโยชน์รัดกุมยิ่งขึ้น
40. เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติการประมง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2528 คืออะไร
ตอบ เนื่องจากปรากฏว่าในปัจจุบันนี้มี ประชาชนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้ใช้วัตถุมีพิษเพื่อทำการประมงอันอาจเป็นอันตรายแก่ผู้บริโภค สัตว์น้ำได้ จึงสมควรจะได้กำหนดมาตรการควบคุมให้เหมาะสมยิ่งขึ้น พร้อมกับกำหนดความรับผิด ของเจ้าของเรือ กรณีที่มีการละเมิดน่านน้ำของต่างประเทศ และทำให้คนประจำเรือหรือผู้โดยสาร ไปกับเรือต้องตกค้างอยู่ ณ ต่างประเทศ ประกอบกับมีสัตว์น้ำบางชนิดที่มีคุณค่าในทางเศรษฐกิจ เช่น เต่า และกระ ได้ถูกจับจนเกินปริมาณที่สมควร หากไม่มีมาตรการอนุรักษ์ที่เหมาะสมแล้ว สัตว์น้ำที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจประเภทดังกล่าวจะถูกทำลายจนไม่มีเหลือสำหรับแพร่พันธุ์ หรือ นำมาใช้ประโยชน์ได้อีกต่อไป จึงสมควรที่จะออกมาตรการห้ามครอบครองสัตว์น้ำ และผลิตภัณฑ์ สัตว์น้ำบางชนิดที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจดังกล่าว และโดยที่พระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 ไม่มีบทบัญญัติครอบคลุมไปถึงมาตรการเหล่านี้ อีกทั้งโทษบางมาตราที่บัญญัติไว้มีอัตราต่ำไม่ เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้